การมีระบบในการเก็บเงินที่ดี เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีผลลัพธ์ทางการเงินที่ดี เเละการออมเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกด้วย ซึ่งเเต่ละคนมีวิธีการออมในสไตล์ของตัวเอง เราอยากเเนะนำวิธีแปลกๆ เผื่อไว้เป็นทางเลือกในการเก็บเงินให้กับคุณพ่อคุณเเม่ค่ะ 1. ออมตามปฏิทิน เป็นการออมตามวันที่แบบค่อยๆ เก็บเงินไปทีละเล็กละน้อย วิธีที่ 1 ในหนึ่งปีมี 365 วัน ในวันที่ 1 มกราคม ก็นับเป็นวันที่ 1 เก็บเเค่ 1 บาท พอถึงวันท้ายๆ อย่างวันที่ 100 ก็เก็บ 100 บาท เเล้วออมไปเรื่อยๆ จนครบ 1 ปี เหมาะสำหรับคนที่วินัยในการเก็บมากๆ เเละไม่เคยพลาดเลยสักวัน วิธีที่ 2 ออมตามวันที่ปกติไปเลย คือวันที่ 1 ก็คูณ 2 เป็น 2 บาท ถ้าถึงวันที่ 10 ในเดือนนั้นก็คูณ 2 เป็น 20 บาท แบบนี้ก็ดูนับง่ายดี เผื่อวันไหนลืมออมก็เก็บวันถัดไปเลย 2. ออมตามเลขท้าย 3 ตัว เรียกได้ว่าคุณพ่อคุณเเม่จะได้ออมกันทุกวันที่ 1 และ 16 เลย เเทนที่จะลุ้นว่างวดนี้ถูกรางวัลไหม โดยออมตามเลขท้าย 3 ตัว บวกรางวัล 2 ตัวล่าง เป็นอีกวิธีที่ดูได้ลุ้นกันทุกเดือน เเละน่าสนุกดี 3. ออมด้วยแบงก์ 50 อีกหนึ่งวิธีที่หลายคนใช้กันเยอะ เพราะเเบงก์ 50 นานๆ ทีจะได้มา เมื่อเจอก็เก็บไว้ มีหลายคนที่เก็บเเบงค์ 50 เเล้วสิ้นเดือนเก็บเงินได้เงินเยอะมาก 4.
ออมเงินก่อนใช้ ออมเงิน ก่อนใช้ ใช่แล้วครับเราไม่ควรใช้ก่อนออม แต่ผู้คนส่วนมากมักจะเอาเงินทั้งหมด ไปใช้กันซะก่อนเหลือแค่ไหนก็ค่อยมาออม ซึ่งใครทำแบบใช้ก่อนออมส่วนมาก จะไม่ค่อยเหลือมาเก็บ ทางที่ดีเราได้รายได้มาเท่าไหร่เราก็เอามาออมไว้สัก 5-10% (ได้เยอะกว่านี้ยิ่งดี) 2.
ใช้เเบงก์อย่างเดียว ทุกครั้งที่ใช้จ่ายก็ใช้เเบงก์อย่างเดียว เเล้วพอได้เหรียญก็เก็บเป็นเงินออม เป็นวิธีที่เรายิ่งใช้เงินบ่อยยิ่งได้เหรียญเพิ่ม เเละยิ่งได้เงินออมเพิ่มมากขึ้นด้วย 9. ออมเป็นทรัพย์สิน บางคนไม่สามารถเก็บเงินสดได้ เพราะมีเท่าไหร่ก็อดใจไม่ไหวใช้จนหมด การเก็บเงินเป็นทรัพย์สินโดยซื้ออสังหาริมทรัพย์สักตัวเป็นของตัวเอง เเล้วเอาเงินสดไปผ่อนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งพอผ่อนไปสักพักก็อาจขายจนได้เงินสดมาหนึ่งก้อนเก็บเป็นเงินออมก็ดีเหมือนกัน (เเต่อาจต้องศึกษาข้อมูลเเละเลือกอย่างระมัดระวังหน่อย เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง) 10. ตัดออมอัตโนมัติ เมื่อเงินเดือนมาก็ตัดออม 10% ไปในบัญชีเงินออม เเล้วสิ้นเดือนถ้ามีเงินเหลืออีกก็ค่อยออมเพิ่ม ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ เพราะการออมก็เหมือนเป็นการสร้างรากฐานที่ดีสำหรับอนาคตของครอบครัวค่ะ 😀
เป็นทุนในการนำไปสร้างมูลค่า เมื่อคุณมีเงินเก็บจำนวนที่มากพอแล้ว นอกจากที่คุณจะสามารถนำไปใช้ซื้อสิ่งที่คุณอยากได้แล้ว คุณอาจนำเงินจำนวนนั้นไปสร้างมูลค่าให้งอกเงยเพิ่มขึ้นอีกได้ด้วย แน่นอนว่าหากคุณฝากไว้กับธนาคาร คุณก็ได้อย่างน้อยคือดอกเบี้ย แต่หากคุณต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่านั้น ก็อาจนำเงินออมนั้นไปเปิดกิจการเล็กๆ ซื้อกองทุนรวม หรือหากคุณมีความรู้ด้านตลาดหุ้น คุณก็สามารถนำส่วนหนึ่งของเงินออมนี้ ไปเล่นหุ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าให้เงินของคุณสูงยิ่งขึ้นไปได้อีก อาจมีความเสี่ยงสูงที่เงินจะเสียไป แต่เงินจำนวนนี้ถึงเสียไป ก็อาจไม่มีผลต่อคุณมากนัก เพราะไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการกู้หนี้ยืมสิน 4. เพิ่มความมั่นคงในอนาคต การมีเงินออมไว้จำนวนหนึ่งก็เหมือนคุณมีเกราะป้องกันสิ่งที่คาดไม่ถึง ใครจะรู้เล่าว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร คุณอาจใช้ชีวิตปกติสุขดี เงินจำนวนนี้ก็เก็บเอาไว้ซื้อความสุข แต่หากเกิดสิ่งเลวร้ายกับคุณล่ะ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากประสบปัญหาในชีวิต แต่เงินออมนี้แหละที่จะช่วยให้ปัญหาเบาขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณอาจประสบอุบัติเหตุหรือตรวจพบโรคร้ายแรงจนคุณไม่สามารถประกอบอาชีพดังเดิมได้ชั่วขณะ ตราบใดที่คุณมีเงินออมเก็บไว้จำนวนหนึ่ง บางทีปัญหาเหล่านี้อาจเบาขึ้นกว่าหากเทียบกับการไม่มีเงินเก็บเลย เพราะคุณไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน และที่สำคัญ มีความมั่นคงว่าในอนาคตคุณจะไม่ต้องเป็นภาระให้กับลูกหลาน 5.
เก็บเงินทอนให้หมด อยากบอกว่าอย่าดูถูกพลังเเห่งเศษเหรียญ เพราะถ้าเราบริหารเศษเหรียญให้ดี เดือนหนึ่งอาจได้เป็นพันบาทเลย วิธีทำได้โดยการเปิดกระเป๋าสตางค์ตอนหมดวันดูว่าเหลือเศษเหรียญอยู่เท่าไหร่ เเล้วกวาดไปเป็นเงินออมให้หมด วันพรุ่งนี้เราก็จะได้กระเป๋าสตางค์แบบเบาหวิวที่มีแต่เเบงก์ไปทำงาน เเละเงินออมในกระปุกก้อนใหญ่ 5. เก็บเงินเท่าค่ากาแฟ ลองคำนวณดูว่าเเต่ละวันกินกาแฟเเก้วละเท่าไหร่ เเล้วลองเก็บไปเป็นเงินออมเเทน ส่วนกาแฟแก้วโปรดก็อาจจะชงกาแฟที่ออฟฟิศเเทน ลองคำนวณดูก็เก็บเป็นเงินออมได้เยอะเหมือนกัน 6. หักเศษเงินเดือน เวลาได้เงินเดือนเข้าบัญชีมามักจะเป็นเศษเพราะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ลองตัดเศษเงินเดือนเดือนนั้นเป็นเงินออมเข้าบัญชีทุกเดือนดู 7. จินตนาการว่าซื้อเเล้ว เเน่นอนว่าเรามักอยากได้โน่น อยากได้นี่บ้างเป็นธรรมดา ให้ใช้วิธีดูของที่อยากได้ในอินเทอร์เน็ต เเล้วทิ้งไว้สักพัก(อย่าเพิ่งกดสั่งซื้อทันที ให้กลับมาดูอีกรอบอาจจะไม่อยากได้เเล้ว หรือดูไปจนหายอยาก) จากนั้นเอาเงินตามราคาของที่อยากได้มาฝากธนาคารเป็นเงินออม หรือถ้าอยากทานอะไรแพงๆ ก็ให้พยายามหาของที่คล้ายกันมาทานเเทน (ในราคาที่ถูกกว่า) ก็จะเหลือเงินเก็บเป็นเงินออมได้เหมือนกัน 8.
รายจ่ายประจำที่ลดได้ ค่าอาหารเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดก้อนหนึ่งในชีวิตประจำวัน วิธีหนึ่งที่จะลดรายจ่ายก็คือการประหยัดค่าใช้จ่ายก้อนนี้ให้มากขึ้น เช่น ลองตั้งเป้าว่าจะนำอาหารมาทานเอง 1-2 วันต่อสัปดาห์ ก็จะช่วยลดรายจ่ายค่าอาหารได้ อีกวิธีหนึ่งก็คือ ทานกับข้าวร่วมกันกับทีม: คนทำงานส่วนใหญ่มักนิยมทานอาหารจานเดียวเพราะความสะดวกคล่องตัว การสั่งกับข้าวทานร่วมกันนั้นเป็นอีกวิธีที่นอกจากจะได้เปลี่ยนบรรยากาศแล้วยังเพิ่มโอกาสการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย 👘 5. ลดรายจ่ายเรื่องเสื้อผ้า ลองเรียนรู้วิธี DIY เปลี่ยนชุดเก่าให้เป็นชุดเก๋ รวมถึงหากนำเสื้อผ้าที่มีมาจับคู่ดี ๆ เปลี่ยนไปมาก็ดูเหมือนคุณมีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ตลอดเวลาได้เหมือนกัน อีกจุดสำคัญที่ช่วยอุดรอยรั่วจากรายจ่ายในการซื้อเสื้อผ้าก็คือการเลือกเสื้อผ้าที่ใช้วัสดุคุณภาพดี เพราะเมื่อคุณซื้อเสื้อผ้าราคาถูกที่เนื้อผ้าไม่ดี หรือการตัดเย็บไม่ดี จะทำให้เสื้อผ้าเหล่านั้นเสื่อมสภาพเร็วหลังจากซักไปเพียงไม่กี่ครั้ง และทำให้คุณก็ต้องเสียเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าใหม่อีกรอบ 🕋 6. อย่าบ้าสะสม ของสะสมเป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่อย่างไรก็ตาม ใครที่เป็นนักสะสมก็มักจะเต็มไปด้วยรายจ่ายที่รั่วไหล ถ้าคุณไม่หยุดตัวเองเลย เมื่อมองย้อนกลับมาอีกทีอาจพบว่ามีของสะสมอยู่เต็มบ้านไปหมด แต่เงินในบัญชีกลับว่างเปล่า "well-wisher" แนะนำให้สะสมบ้างและปล่อยขายบ้างเมื่อราคาสูงขึ้น เพื่อเป็นการรักษาสมดุลทางการเงิน 💴 7.
เดินทางโดยขนส่งสาธารณะ การเดินทางด้วยรถสาธารณะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มาก และยังช่วยประหยัดพลังงานแทนการขับรถยนต์ส่วนตัวด้วย หรือลองซื้อบัตรรายเดือนของรถไฟฟ้า รถเมล์ ก็จะพบว่าค่าโดยสารยิ่งราคาถูกลงไปอีก 🐖 12. ตั้งหน้าตั้งตาออมอย่างมีวินัย การออมเป็นสิ่งทีดี โดยควรตั้งเป้าหมายในการออมระยะสั้น เช่น ออมให้ได้ 300 บาทหรือมากกว่านั้นต่อสัปดาห์ จะทำให้ไม่รู้สึกหนักเกินไปและมีกำลังใจในการเก็บเงิน และควรวางแผนการเกษียณให้เร็วที่สุดอย่าเพียงแค่ทำงานไปทุก ๆ เดือน ทางที่ดีให้ลงทุนในกองทุนเอาไว้บ้างเพื่ออนาคต ⏰ 13. ให้เวลา 24 ชั่วโมง ในการตัดสินใจใช้เงิน เวลาที่คุณอยากซื้อของสักชิ้น ให้กลับบ้านไปแล้วไตร่ตรองอีกสัก 24 ชั่วโมง.. เมื่อมีเวลาคิดก็อาจจะไม่อยากได้แล้ว หรือลองคำนวณราคาสิ่งของที่จะซื้อ เปรียบเทียบกับจำนวนค่าตอบแทนรายวันที่จากการทำงานของคุณ เช่น รองเท้าราคา 5, 000 บาท แต่คุณมีเงินเดือน 20, 000 บาท ทำงานเดือนละ 22 วัน เท่ากับ 20, 000/22 = 909 บาท ดังนั้น การซื้อรองเท้าคู่นี้เทียบได้กับการที่คุณต้องทำงานแลกเป็นเวลา 5. 5 วัน ให้ลองเปรียบเทียบกับความคุ้มค่าดู อ่านแล้วลองนำไปประยุกต์ใช้กับไลฟ์สไตล์ของคุณดูนะคะ แต่อย่าลืมว่าช่วงนี้ โควิด ระบาด บางข้อก็รอให้ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปรกติก่อนนะคะ 😁